Monday, November 24, 2014

CD-Driver Epson ME-301 หาย.. แต่อยากติดตั้งให้ใช้งานผ่านไวไฟได้ มาดูกันครับ


EPSON ME-301

epson me-301




มีเครื่องปริ้น EPSON รุ่น ME-301 ทิ้งไว้นานแล้ว วันนี้เลยเอามาเป่าฝุ่นแล้วใช้งานซะหน่อย ปรากฎว่าลืมไปเลยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์พึ่งจะเอาไปลงวินโดวส์มาใหม่ ก็เตรียมจะลงไดรเวอร์ใหม่ "แผ่นหาย" 
งานเข้าครับ หาโหลดจากเว็บในไทยก็ต้องใช้สาย USB (สายเชื่อมก็หาย เพราะแต่ก่อนใช้ไร้สาย T-T)

หาวิธีในอินเตอร์เน็ตตั้งนาน ก็ไม่เจอ วันนี้ได้มีโอกาสสอบถามไปทางศูนย์บริการ เลยได้วิธีการติดตั้งและใช้ได้จริง เลยรวบรวมมาให้เผื่อใครจะเจอปัญหาแบบผมครับ

1. เริ่มแรกเลยครับ เข้าไปที่ www.epson.co.uk แล้วมองบริเวณด้านบน เลือก SUPPORT




2. ข้างๆด้านซ้าย เครื่องปริ้นเตอร์ทั้ง 3 เครื่อง จะมี คำว่า Click here ให้คลิกเข้าไป (หากไม่เจอ คลิกที่นี่)




3. คราวนี้ก็เลือก รุ่นเครื่องปริ้นเตอร์ เพื่อจะทำการดาวโหลดไดร์ทเวอร์ครับ




4. ในที่นี้เราจะเอาไดร์ทเวอร์ของรุ่น ME-301 แต่เนื่องจากทางต่างประเทศไม่มีรุ่นนี้ เราจึงต้องใช้รุ่น EPSON L355 แทนได้ครับ (ME-301 เป็น All-In-One นะครับ) แล้วจึงเลือกระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ของคุณ (ในที่นี้ใช้ Win 7)




5. พอเลือกรุ่นอะไรเสร็จแล้ว กด Confirm Selection ได้เลยครับ




6. ใกล้แล้วครับๆ เลือก Driver & Software




7. เลือก Epson network software & Driver package 1.0 ได้เลยครับ




8. เลือก Proceed to download ได้เลยครับ




9. หลังจากที่ดาวโหลดโปรแกรมมาแล้วให้คิดติดตั้งได้เลย (ขออนุญาตข้ามในส่วนแรกๆ มาเลยนะครับ)
ทีนี้มาดูต่อครับ เราจะเจอหน้าตาแบบนี้ให้ กดที่ข้อแรก การเชื่อมต่อ Wifi/เครือข่าย ได้เลยครับ




10. เลือกข้อแรกต่อเลยครับ เชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติ





11. ขั้นตอนการอนุญาตครับ ให้ดูช่องสี่เหลี่ยมข้างหน้า Allow Access ด้วยนะครับว่ามีเครื่องหมายถูกข้างหน้าไหม (ถ้าไม่มี ติก ได้เลยครับ) แล้วจึงกด Next ต่อไป




12. รอระบบจัดการต่อได้เลยครับ




13. ในส่วนนี้เราควรตั้งปริ้นเตอร์ให้แถวๆเครื่องคอมพ์ของเราครับ (จะได้กดปุ่มหน้าเครื่องปริ้นได้ง่ายๆ)
เสร็จแล้วกด ถัดไป




14. พอถึงหน้านี้แล้ว ให้กดปุ่ม Wi-Fi ที่หน้าเครื่องปริ้นเตอร์ได้เลยครับ (กดค้างไว้ นับ 1-4 ละกัน)




15. รอสักพักครับ




16. เรียบร้อยแล้วครับ จะทดสอบการพิมพ์ก็กด Print Test Page ได้เลยครับ เสร็จแล้วก็ทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เรา 1 รอบ จะทำเลยหรือยังไม่ต้องทำก็ได้นะครับ (ไว้เสร็จงานหรือจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้ครับ)



เรียบร้อยแล้วครับสำหรับการติดตั้งค่าให้เครื่องปริ้นเตอร์รุ่น ME-301 ใช้ผ่านไวไฟได้ครับ

หากต้องการดาวโหลดไดร์ทเวอร์อื่นๆ เช่น สแกน พิมพ์ภาพ คลิกที่นี่ ครับ




Sunday, August 3, 2014

วิธีดูแลรักษาสีรถในช่วงฝนตก

หลายคนที่มีรถคงอยากให้สีรถของท่านดูสวยสดใสตลอดเวลา แต่ด้วยว่าช่วงนี้ฝนตกแทบจะทุกวัน บางคนก็คงไม่อยากล้างบ่อยๆ เดี๊ยวก็ตกอีก วันนี้ได้มีโอกาสเจอบทความดีๆ จึงอยากเอามาแบ่งปันกันให้กับทุกๆคนครับ

"วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน อย่างง่ายๆ"

การที่เราไม่ค่อยล้างรถในช่วงหน้าฝน เพราะคิดว่า ล้างไป เดี๋ยวก็เลอะอีก
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาแบบผิดๆ

ลองคิดง่ายๆ ครับ

เวลาที่เราออกกำลังกาย เหงื่อท่วมไปทั้งตัว
เราเองยังต้องรีบอาบน้ำ เพื่อทำความสะอาดร่างกายใช่มั๊ยครับ

รถสวยๆ ของเราก็เช่นเดียวกันครับ

เมื่อเราขับรถลุยฝน ลุยน้ำท่วม สกปรก เลอะเทอะ
เราก็ควรที่จะรีบทำความสะอาด ล้างรถ เช่นเดียวกันครับ

เพราะอะไรครับ....

เพราะว่า ปัจจุบันนั้น ฝนเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพ และเขตอุตสาหกรรมนั้น จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ หรือที่เรียกกันว่า "ฝนกรด" นั้นแหล่ะครับ

ถ้าเราไม่รีบล้าง ทำความสะอาด ฝนกรดนี้ก็อาจจะกัดสีรถเราได้นะครับ

ดังนั้น เราควรเปลี่ยนความคิด หันมาล้างรถอย่างประจำจะดีกว่าครับ
หน้าฝน ควรที่จะต้องล้างรถ มากกว่าหน้าอื่นๆ ด้วยครับ เพราะถ้าเราไม่ล้างรถ คราบน้ำ คราบขี้ไคล ก็จะสะสมอยู่ที่ผิวสี และอาจจะฝั่งแน่นเป็นคราบขี้ไคล ทำให้รถเราหม่น เหลือง ล้างไม่ออกครับ

วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน อย่างง่ายๆ 

1. หมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังลุยฝนมาครับ
เพื่อจะช่วยไม่ให้เกิดคราบฝังแน่นครับ แต่ถ้าเราไม่มีเวลามาก แนะนำให้ใช้สายยางฉีดไล่ฝุ่น โคลน และคราบน้ำฝนครับ

2. เมื่อเราขับรถลุยฝนมาแล้ว พยายามอย่าจอดรถตากแดดนะครับ

เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง และเป็นคราบน้ำ ยิ่งถ้าเจอฝนกรดด้วยแล้ว คราบน้ำนั้นจะฝังตัวแน่น และอาจกัดลงถึงเนื้อสีได้ครับ
(เช่นเดียวกันคราบน้ำแป้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์)

ซึ่งถ้าเป็นคราบน้ำแล้วเราล้างไม่ออก แนะนำให้รีบนำรถเข้ามาขัดเคลือบสีโดยด่วนเลยนะครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะมันอาจจะขัดไม่ออกครับ

3. ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถหลังฝนตก เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดรอยได้ครับ

เพราะขณะที่เราขับรถลุยฝนนั้น จะมีฝุ่น ทราย โคลน เกาะที่ผิวสี
เมื่อเช็ดรถด้วยผ้าแห้ง ก็อาจเกิดริ้วรอยได้ครับ
ดังนั้น ควรฉีดน้ำล้างจะดีที่สุดครับ

4. ไม่ควรล้างรถเองในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ

เพราะบางครั้ง น้ำที่ตกค้างอยู่ตามซอก ตะเข็บรถ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถเป็นสนิมได้ครับ

5. ในช่วงหน้าฝน ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ที่มียาง เกสร ดอก หรือผล

เพราะในฤดูฝน มักมีลมกรรโชกที่รุนแรง นอกจากต้นไม้จะหักหรือล้มมาโดนรถแล้ว สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้ผิวสีด่างและเสียได้ หากเราไม่แก้ไขให้ทันท่วงที

6. หากมีเวลาว่าง ก็แนะนำให้เคลือบสีด้วยครับ

การเคลือบสีนั้น นอกจากจะทำให้รถเราสวยงามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำจากฝนกรดด้วยนะครับ ถ้าเราเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะที่ตัวรถ จะทำให้ลดการเกิดคราบน้ำครับ และยังจะช่วยให้เราล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วยครับ

แต่ถ้าเราไม่เคลือบสีเลย โอกาสเกิดคราบน้ำก็มีสูง คราบสกปรกก็จะฝังตัวได้ง่าย ทำให้เราล้างรถลำบากครับ 

ขอขอบคุณ teana-club.com

Tuesday, March 25, 2014

ว่าด้วยเรื่องของ "การบูร"


"การบูร" คนเราส่วนใหญ่จะรู้จักว่ามันเป็นผลึกสีขาวเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว การบูรนั้นมาจากต้นไม้ และก็มีประวัติเล่ากันต่อมาว่าเป็นไม้พันธุ์พื้นเมืองของประเทศจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน
ซึ่งการบูรนั้นก็สามารถพบเจอได้ทุกส่วนของลำต้น ไม่ว่าจะใบ ดอก หรือราก ซึ่งการบูรนั้นจะแทรกไปทุกๆส่วนเลยทีเดียว และเรายังสามารถนำแต่ละส่วนมากลั่นได้เป็นการบูรและตัวยาอื่นๆอีกมากมาย


สรรพคุณนั้น มีมากมายไม่ว่าจะใช้บรรเทาการปวด แมลงต่อย โรคผิวหนัง แก้ปวดท้อง ท้องร่วง ขับเหงื่อ บำรุงธาตุ ระงับเชื้ออย่างอ่อน และการบูรแท้เมื่อโดนลิ้นจะเย็นๆไม่แสบร้อน
ส่วนกลิ่นที่ได้จากการ"ระเหิด"ของการบูร ไม่ใช่ระเหยนะครับ ใช้ลดกลิ่นอับได้ เนื่องจากการบูรเขาสามารถระงับเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของกลิ่นได้นั่นเอง อีกทั้งกลิ่นอ่อนๆ ยังช่วยผ่อนคลายได้อีกด้วย
ประโยชน์ของสิ่งใกล้ตัวที่หาได้ไม่ยากเลยนะครับ
ทุกวันนี้ก็ยังมีการนำการบูรมาแปรรูปบรรจุลงในสิ่งต่างๆ เพื่อให้ดูน่ารักหรือดูสวยงามมากขึ้น เช่น ตุ๊กตา หรือ ซองกระดาษพับเป็นรูปสัตว์ รูปเสื้อ รูปขนมเค้ก น่ารักๆ ต่างๆ อีกมากมาย สนใจหาดูเพิ่มเติมได้ไม่ยากครับ เผื่อจะเอามาใช้ในห้องเราๆ อาจช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ไม่มากก็น้อยกันเลยทีเดียว

Wednesday, March 12, 2014

แสงสีฟ้า อันตรายที่เรามอง(ไม่)เห็น






ไม่ได้มาเขียนนาน เลยหยิบยกบทความเก่าที่เคยเรียบเรียงมาเอามาลงดีกว่า
ใกล้ตัวหน่อยก็เรื่องของแสงแดดกับดวงตา ซึ่งแสงแดดนั้นก็มีอยู่ทุกที่ และโดยปกติคนไทยเรานั้นมีจำนวนน้อยมากที่จะให้ความสำคัญกับดวงตา แม้บางคนทำงานกลางแจ้งหรือต้องออกแดดตลอดเวลา ถ้าเทียบกับชาวต่างชาติเท่าที่ผมรู้จัก พวกเขามักจะมีแว่นตากันแดดติดตัวกันเลยทีเดียว ออกนอกอาคารเมื่อไรใส่เมื่อนั้น ซึ่งปกติแว่นตาพวกนี้ก็สามารถป้องกันแสง"ยูวี"ได้อยู่แล้ว แล้วแสงสีฟ้าที่ผมนำเรื่องล่ะเกี่ยวอะไรด้วย เราลองมาดูกัน
601272888947278.jpg

จริงๆแล้วแสงสีฟ้าคือแสงที่ผสมอยู่ในช่วงแสงสีขาวที่มนุษย์มองเห็น โดยแสงสีขาวที่มนุษย์มองเห็นสามารถแบ่งสีได้ 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และ แดง ฉะนั้นช่วงแสงสีฟ้ามีพลังงานมากพอที่จะมีอันตรายต่อจอประสาทตา ซึ่งแสงสีฟ้านั้นมีอยู่ในแสงแดด และแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่เราใช้ตามบ้านนั่นแหละครับ(ไม่ใช่หลอดนีออนนะ) ซึ่งแสงเหล่านี้อยู่รอบตัวมนุษย์ตลอดเวลา



675544945057481.gif

โดยปกติดวงตาของคนเราก็มีสามารถป้องกันแสงสีฟ้าได้อยู่แล้ว โดยเลนส์จะมีสีเหลืองเข้มมากขึ้นเมื่อมีคนเรานั้นมีอายุมากขึ้น ซึ่งสีเหลืองนี่แหละที่จะเป็นตัวกรองแสงสีฟ้าได้ดี



211705747991800.jpg

แล้ว Blue light เนี่ยมันมีอันตรายอย่างไรล่ะ
จากการศึกษาถึงอันตรายของแสงสีฟ้า (Blue light) พบว่ามีอันตรายต่อจอประสาทตา พบว่าเซลของชั้นจอประสาทตาชั้นนอกสุด (RPE: Retinal Pigment Epithelium) เมื่อสัมผัสกับแสงสีฟ้าจะทำให้เซลตายได้ เนื่องจากแสงสีฟ้ามีพลังงานมากพอที่จะไปกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระภายในลูกตา แล้วสารอนุมูลอิสระจะทำให้เซล จอประสาทตาตาย พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมไปแล้ว มีโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ในอัตราที่สูงกว่าผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกซะอีก

ทราบอย่างนี้แล้วก็อย่าลืมทะนุถนอมดวงตากันบ้างนะครับ เขาจะได้อยู่กับเราไปนานๆ


ขอบคุณสาระดีๆจาก ThaiEye Clinic Center และรูปภาพประกอบจาก แว่นตา Bolle ครับ